การตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อม
การเคลื่อนไหวของพืชแบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ
1. การเคลื่อนไหวที่เกิดจากการเจริญเติบโต
1.1)
การเคลื่อนไหวอัตโนมัติ (Autonomic
Movement)เป็นการเคลื่อนไหวของพืชอันเนื่องมาจากสิ่งเร้าภายใน คือ Plant
Hormone หรือ Auxin ไดแก่ Iaa (Idole
Acetic Acid) สร้างจากบริเวณเนื้อเยื่อเจริญของพืชที่ยอดอ่อนและราก
ทำให้กลุ่มเซลล์ที่อยู่ข้างเคียงขยายตัวยืดยาวออกไป ได้แก่ Nutation และ Spiral Movement
Nutation
เป็นการตอบสนองที่เกิดจากการกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายในจำพวกฮอร์โมนโดยเฉพาะออกซิน
ทำให้การเจริญของลำต้นทั้งสองด้านไม่เท่ากัน ได้แก่
- การเอนหรือแกว่งยอดไปมา (nutation movement) เป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดเฉพาะส่วนยอดของพืช สาเหตุเนื่องจาก ด้านสองด้านของลำต้น (บริเวณยอดพืช)
เติบโตไม่เท่ากัน ทำให้ยอดพืชโยกหรือแกว่งไปมาขณะที่ปลายยอดกำลังเจริญเติบโต
- การบิดลำต้นไปรอบๆเป็นเกลียว (spiral movement) เป็นการเคลื่อนไหวที่ปลายยอดค่อยๆบิดเป็นเกลียวขึ้นไป เมื่อเจริญเติบโตขึ้น
ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า โดยปกติเราจะมองเห็นส่วนยอดของพืชเจริญเติบโตขึ้นไปตรงๆ
แต่แท้จริงแล้วในส่วนที่เจริญขึ้นไปนั้นจะบิดซ้ายขวาเล็กน้อย
เนื่องจากลำต้นทั้งสองด้านเจริญเติบโตไม่เท่ากันเช่นเดียวกับ นิวเทชัน ซึ่งเรียกว่า circumnutation พืชบางชนิดมีลำต้นอ่อนทอดเลื้อยและพันหลักในลักษณะการบิดลำต้นไปรอบๆ เป็นเกลียวเพื่อพยุงลำต้น เรียกว่า
twining เช่น การพันหลักของต้นมะลิวัลย์ พริกไทย
อัญชัน ตำลึง ฯลฯ
การเคลื่อนไหวที่เกิดเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแรงดันเต่ง (turgor movement)
ปกติพืชจะมีการเคลื่อนไหวตอบสนองต่อการสัมผัส
(สิ่งเร้าจากภายนอก) ช้ามาก
แต่มีพืชบางชนิดที่ตอบสนองได้เร็ว
โดยการสัมผัสจะไปทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำภายในเซลล์ ทำให้แรงดันเต่ง (turgor
pressure) ของเซลล์เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่ถาวร
ซึ่งมีหลายแบบ คือ
1. การหุบของใบจากการสะเทือน (contract
movement)
- การหุบใบของต้นไมยราบ ตรงบริเวณโคนก้านใบและโคนก้านใบย่อยจะมีกลุ่มเซลล์ชนิดหนึ่ง
(เซลล์พาเรงคิมา) เรียกว่า พัลไวนัส (pulvinus) ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีขนาดใหญ่และ ผนังเซลล์บาง มีความไวสูงต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้น เช่น
การสัมผัส เมื่อสิ่งเร้ามาสัมผัสหรือกระตุ้นจะมีผลทำให้แรงดันเต่งของ
กลุ่มเซลล์ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คือ
เซลล์จะสูญเสียน้ำให้กับเซลล์ข้างเคียงทำให้ใบหุบลงทันที
หลังจากนั้นสักครู่น้ำจะซึมผ่านกลับเข้าสู่เซลล์พัลไวนัสอีก แรงดันเต่ง
ในเซลล์เพิ่มขึ้นทำให้แรงดันเต่งและใบกางออก
-
การหุบของใบพืชพวกที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปเพื่อจับแมลง ได้แก่ ใบของต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง ต้นสาหร่ายข้าวเหนียว ต้นกาบหอยแครง ต้นหยาดน้ำค้าง เป็นต้น พืชพวกนี้ถือได้ว่าเป็นพืชกินแมลงจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของใบเพื่อทำหน้าที่จับแมลง ภายในใบจะมีกลุ่มเซลล์หรือขนเล็กๆ (hair)
ที่ไวต่อสิ่งเร้าอยู่ทางด้านในของใบ
เมื่อแมลงบินมาถูกหรือมาสัมผัสจะเกิดการสูญเสียน้ำ
ใบจะเคลื่อนไหวหุบทันที
แล้วจึงปล่อยเอนไซม์ออกมาย่อยโปรตีนของแมลงให้เป็น กรดอะมิโน
จากนั้นจึงดูดซึมที่ผิวด้านในนั้นเอง
2. การหุบใบตอนพลบค่ำของพืชตระกูลถั่ว (sleep movement)
-
เป็นการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงความเข้มของแสงของพืชตระกูลถั่ว
เช่น ใบก้ามปู ใบมะขาม ใบไมยราบ ใบถั่ว ใบแค ใบกระถิน ใบผักกระเฉด เป็นต้น
โดยที่ใบจะหุบ ก้านใบจะห้อยและลู่ลงในตอนพลบค่ำ เนื่องจากแสงสว่างลดลง
ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ต้นไม้นอน”
แต่พอรุ่งเช้า ใบก็จะกางตามเดิม การตอบสนองเช่นนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลง
แรงดันเต่งของกลุ่มเซลล์พัลไวนัสที่โคนก้านใบ
โดยกลุ่มเซลล์พัลไวนัสนี้เป็นกลุ่มเซลล์ขนาดใหญ่และผนังเซลล์บาง มีความไวสูงต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้น
เมื่อไม่มีแสงสว่างหรือแสงสว่างลดลง มีผลทำให้เซลล์ด้านหนึ่งสูญเสียน้ำให้กับช่องว่างระหว่างเซลล์ที่อยู่เคียงข้างทำให้แรงดันเต่งลดลงใบจึงหุบลง ก้านใบจะห้อยและลู่ลง
พอรุ่งเช้ามีแสงสว่างน้ำจะเคลื่อนกลับมาทำให้แรงดันเต่งเพิ่มขึ้นและเซลล์เต่งดันให้ที่ลู่นั้นกางออก
3.
การเปิดปิดของปากใบ (guard cell movement)
การเปิด-ปิดของปากใบขึ้นอยู่กับความเต่งของเซลล์คุม (guard cell) ในตอนกลางวันเซลล์คุมมีกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเกิดขึ้น ทำให้ภายในเซลล์คุมมีระดับน้ำตาลสูงขึ้น
น้ำจากเซลล์ข้างเคียงจะซึมผ่านเข้าเซลล์คุม ทำให้เซลล์คุมมีแรงดันเต่งเพิ่มขึ้น
ดันให้ผนังเซลล์คุมที่แนบชิดติดกันให้เผยออก จึงทำให้ปากใบเปิด
แต่เมื่อระดับน้ำตาลลดลงเนื่องจากไม่มีกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
น้ำก็จะซึ่มออกจากเซลล์คุม
ทำให้แรงดันเต่งในเซลล์คุมลดลงเซลล์จะเหี่ยวและปากใบก็จะปิด
การเคลื่อนแบบนาสติก(Nastic movement) ได้แก่
การบานของดอกไม้ การคลี่บานของใบหุ้มตาอ่อน เนื่องจากสิ่งเร้าภายนอกมากระตุ้น ได้แก่ การบานเนื่องจากแสงเป็นสิ่งกระตุ้นเรียกว่า โฟโตนาสตี้ (Photonasty) การบานเนื่องจากอุณหภูมิเป็นสิ่งกระตุ้น เรียกว่า(Thermonasty)การตอบสนองแบบนาสติกจะเห็นว่าทิศทางการตอบสนองไม่ขึ้นกับทิศทางของสิ่งเร้าการที่ดอกไม้บานได้นั้นเนื่องจากกลุ่มเซลล์ด้านในของกลีบดอกขยายขนาดมากกว่าด้านนอกจะทำให้ดอกไม้บาน (Epinasty) ในกรณีของดอกไม้หุบนั้น จะเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มเซลล์ด้านนอกขยายมากกว่าด้านในจะทำให้ดอกไม้หุบ(Hyponasty)
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.bangkokplants.com/
http://board.postjung.com/526416.html
http://www.school.net.th/library/create-web/10000/science/10000-2458.html
http://plant-response.exteen.com/20110103/growth-movement
http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/science04/81/2/html/tropism44.html
การบานของดอกไม้ การคลี่บานของใบหุ้มตาอ่อน เนื่องจากสิ่งเร้าภายนอกมากระตุ้น ได้แก่ การบานเนื่องจากแสงเป็นสิ่งกระตุ้นเรียกว่า โฟโตนาสตี้ (Photonasty) การบานเนื่องจากอุณหภูมิเป็นสิ่งกระตุ้น เรียกว่า(Thermonasty)การตอบสนองแบบนาสติกจะเห็นว่าทิศทางการตอบสนองไม่ขึ้นกับทิศทางของสิ่งเร้าการที่ดอกไม้บานได้นั้นเนื่องจากกลุ่มเซลล์ด้านในของกลีบดอกขยายขนาดมากกว่าด้านนอกจะทำให้ดอกไม้บาน (Epinasty) ในกรณีของดอกไม้หุบนั้น จะเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มเซลล์ด้านนอกขยายมากกว่าด้านในจะทำให้ดอกไม้หุบ(Hyponasty)
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.bangkokplants.com/
http://board.postjung.com/526416.html
http://www.school.net.th/library/create-web/10000/science/10000-2458.html
http://plant-response.exteen.com/20110103/growth-movement
http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/science04/81/2/html/tropism44.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น